2567-04-04

♠★♥{DAY48}♥♠★บันทึกการทำงานบริษัทคอมพิวเตอร์ ครบ3 ปีแล้ว ★♠♥{My_Diary}♥★♠

 ...จำได้ว่าตอนนั้นสัมษาณ์งานผ่านมือถือ

เพราะเป็นช่วงโควิดพอดี เราตั้งใจตอบสัมษาณ์

แบบจริงจัง และไม่คาดคิดว่าจะได้งานนี้...

 

ช่วงเวลานั้น เหมือนเรายังไม่ได้ตั้งสติเท่าไหร่ 

เดิมงานเก่าที่ผ่านมาเราทำงานด้านความสวยความงาม

มาตลอดหลายปี แต่พอได้งานบริษัทคอมพิวเตอร์จริงๆ

มันก็ทำให้เราได้เติบโตมากขึ้น องค์กรใหญ่ขึ้นตามไปด้วย

 

เราก็ไม่เคยมีความสามารถอะไรในด้านนี้จริงๆ 

เรียกได้ว่า ตอนที่ได้งานเรายังมึนๆอยู่เลย 

เราไปทำงานครั้งแรก เราไปถือร้าน JIB 

และต่อมาไม่นานก็มายืนอยู่ ร้าน C&C OA ตอนนั้น

เราเพิ่งเรียนรู้งานจากการสอนแบบรวบรัด 2 วัน

ซึ่งเราก็ได้แต่มองพี่เค้าขาย แต่ก็ยังไม่ได้ขายเอง 

อาศัยฟังและดูตามพี่เค้าขาย และเราก็ยังติดนิสัย

ไม่คิดอะไรเยอะ แค่ทำงานไปวันๆ กลัวไม่มีเงิน ไม่มีงานทำ

 

เราก็ได้แต่เปิดเทสเครื่องให้ลูกค้า ใส่กล่องแล้วก็ใส่ถุง

ทำแบบนั้นอยู่นาน พอมีงานCommart ครั้งแรก 

เราได้ไปยืนที่ ร้าน Notebook Store ซึ่งเราเองก็ยังไม่แม่น

ข้อมูลตัวสินค้า แถมยังจำผิดๆถูกๆ 

หลังจากนั้นมาเราก็เริ่มมายืนร้าน Banana IT

จากนั้นเราได้ไป Commart จำได้ว่า พี่เค้าให้เราไปขายจอ ร้านBanana IT

เราแทบไม่เคยขายจอมาก่อนเลย ต้องมาแยกจำข้อมูลจอ

แต่เพราะเราไม่เก่งขนาดนั้นเลย อาศัยติดราคาป้ายเอา

ทำให้เราขายได้เยอะ เพราะลูกค้าเลือกเอาเองเลย 

หลังจากนั้นมาเราก็เลยติดป้ายราคาตลอด เพราะมันช่วยให้

ลูกค้าเห็นสินค้าและรู้ราคาไปเลย เพราะถ้าไม่ทำให้ลูกค้าสนใจ

เค้าจะเดินไปเลย ไม่มีโอกาสได้คุยด้วยซ้ำ 

และงาน Care Asia ได้ไปขาย ACERPURE ตอนนั้น

 

เป็นสินค้าใหม่ของบริษัท เราก็ไม่ได้รู้ข้อมูลอะไรนัก

เน้นอ่านป้ายข้อมูสินค้าเอาเอง และได้ค่าคอมเยอะเพราะงานนั้น

เป็นครั้งแรกที่ได้เงินหลายหมื่น สำหรับเราและพอขายได้เยอะ

เราก็ได้เจอพี่ๆที่เป็นคนของบริษัทACER และเจอพี่บี พี่จุ๋ม

ตอนนั้นเราขอพี่จุ๋มว่า ถ้ามีงานแบบนี้อีก จะขอมาขายอีก

ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครอยากมาขาย แต่เพราะเราขอมาเองแบบสมัครใจ

พี่จุ๋มเค้าให้โอกาส ทำให้เราได้เงินเยอะจากการขายACERPURE

จนเราได้รางวัลจากการทำเอกสารข้อมูลทำป้ายเองทำยอดขายได้ดี 

เราถึงอยู่บริษัทนี้มาได้เกือบ3ปี เราได้รางวัลและโอกาสดีๆ

 

ถึงแม้ว่าหลายครั้งที่เราจะตั้งใจและมุุ่งมั่นในการทำงาน

แต่ก็ยังไม่รู้จักใช้คำพูดคำจาในการทำงาน ทำให้มีปากเสียง

กับลูกค้าและหัวหน้า พี่ๆทีมหลายหน เกือบจะตัดสินใจลาออก

ก็มีอยู่ แต่เพราะตอนนั้นคิดแต่ว่าต้องอดทน มันก็ผ่านมา

เราว่าความอดทนเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการทำงานและการใช้ชีวิต

กว่าคนเราจะเติบโตและประสบความสำเร็จต้องเรียนรู้อีกมากมาย

ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่แรก หัวหน้าเราเคยพูดไว้ ว่าทำงานกับพี่ต้องขยัน 

ถ้าไม่ขยันไม่อดทน ไม่พยายามเรียนรู้ ก็อยู่ได้ไม่นาน 

แม้แต่ตัวหัวหน้าเราเอง ก็คิดว่าเราจะอยู่ได้ไม่ง่าย 

แต่เราก็พยายามถึงอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้ เราภาคภูมิใจ

ในตัวเองและความตั้งใจในการทำงานตลอดที่ผ่านมา





 

 

2566-11-05

♠★♥{DAY47}♥♠★เวลาที่อะไรเข้ามาเยอะๆ มีวิธีแก้อยู่ 2 วิธี★♠♥{My_Diary}♥★♠

 

เวลาที่อะไรเข้ามาเยอะๆ มีวิธีแก้อยู่ 2 วิธี
1. คิดบวก เพราะของทุกอย่างมีดีมีเสีย
2. ทำตัวให้เป็นหุ่นยนต์ไปเลย
ไม่ต้องรู้สึกยินดียินร้าย ทำงานตามหน้าที่
หัวหน้าสอนมา ลองดูนะ  
#ท่องไว้ #หน้าที่ #คิดบวก

2566-06-28

♠★♥{DAY46}♥♠★อาสาสรุป “ทฤษฎีกระปุกทราย” การจัดลำดับความสำคัญเพื่อเพิ่มเวลาชีวิต★♠♥{My_Diary}♥★♠

 [Life Tools🚀] “ทฤษฎีกระปุกทราย” การจัดลำดับความสำคัญเพื่อเพิ่มเวลาชีวิต‼️
.
.
“ทฤษฎีกระปุกทราย” หรือ “The Jar of Life” เป็นเรื่องราวที่ผมได้ยินมานานแล้ว และได้ยินอีกครั้งจากคุณชัชชาติ ในงานสัมมนาของคณะวิศวฯ จุฬาฯ เมื่อปีที่แล้ว เลยเขียนเก็บบันทึกไว้ และเอามาให้ทุกคนอ่านในวันนี้ครับ

 

 


 

เคยรู้สึกว่า “มีเวลาเท่าไหร่ก็ไม่พอ” ไหมครับ???
ทั้ง ๆ ที่ทุกคนก็ล้วนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน
.
.
ถ้าใครเคยรู้สึกแบบนั้นนและอยากทำให้ตนเองมีเวลามากขึ้น “ทฤษฎีกระปุกทราย” อาจช่วยคุณได้ครับ
.
.
.
อยากที่คุณเห็นในภาพ องค์ประกอบของ “ทฤษฎีกระปุกทราย” มีทั้งหมด 4 อย่างดังนี้ครับ
.
.
1.ขวดโหล : เปรียบเสมือน “เวลาชีวิต” ของคุณ ซึ่งขวดโหลของแต่ละคนมีขนาดเท่ากัน
.
2.ก้อนหิน : เปรียบเสมือน “สิ่งที่สำคัญที่สุด” ในชีวิตของคุณ ซึ่งมันจะกินพื้นที่ของขวดโหลมากที่สุด เช่น บางคนอาจจะคิดว่าเป็นการทำงาน ครอบครัว ความสัมพันธ์กับคนรอบตัว หรือการดูแลสุขภาพ
.
3.กรวด : เปรียบเสมือน “สิ่งที่สำคัญรองลงมา” ขนาดของกรวดก็เล็กกว่าหิน แต่ใหญ่กว่าทราย
.
4.ทราย : เปรียบเสมือน “สิ่งที่ไม่สำคัญ” ในชีวิตของคุณ
***ซึ่งแต่ละคนก็มีสิ่งที่สำคัญ และไม่สำคัญต่างกัน
.
.
.
❌ขวดโหลด้านซ้าย : ใส่ทราย →ใส่กรวด →ใส่ก้อนหิน
.
เปรียบเสมือนกับคนที่ใช้เวลาทำสิ่งที่ไม่สำคัญไปซะก่อน ซึ่งเมื่อทรายและกรวดถูกเติมไปในขวดโหลของเราก่อนแล้ว ถ้าให้เห็นภาพก็เหมือนเราเอาเวลาไปเล่น Social Media ก่อนแล้วค่อยทำงานส่งหัวหน้าทีหลัง
.
ทำให้เราเหลือเวลาไม่มากพอที่จะใส่หินก้อนใหญ่ลงไปได้ เลยทำให้รู้สึกมีเวลาเท่าไหร่ก็ไม่พอ งานเสร็จไม่ทันเวลา ควบคุมและจัดการชีวิตตัวเองไม่ได้
.
.
✅ขวดโหลด้านซ้าย : ใส่ก้อนหิน →ใส่กรวด →ใส่ทราย
.
ในทางกลับกันเมื่อเราใส่หินก้อนใหญ่เข้าไปก่อน เปรียบเหมือนเราจัดลำดับความสำคัญและเลือกทำงานที่สำคัญก่อน เมื่องานที่สำคัญกับชีวิตสำเร็จแล้ว มันจะทำให้เรามีพื้นที่เหลือในการใส่กรวด และทรายแทรกเข้าไปได้ ด้วยวิธีการนี้เป็นวิธีการจัดการเวลาที่ดี ทำให้เรามีเวลาชีวิตเพิ่มมากขึ้นโดยปริยาย
.
.
.
📌#อาสาสรุป
-“เวลา” เป็นสิ่งที่ทุกคนมีเท่ากัน และทุกคนเป็น “ผู้เลือก” ในการใช้เวลาของตัวเอง
.
-เราควรใช้เวลากับ “สิ่งที่สำคัญ” ก่อน เพราะมันจะทำให้เรามีอิสระในการใช้เวลาที่เหลือมากขึ้นนั้นเอง
.
-แต่ละคนมีสิ่งที่สำคัญและไม่สำคัญแตกต่างกันแน่นอน ให้ลอง “ทบทวน” อยู่เสมอว่าอะไรที่สำคัญในชีวิตคุณจริง ๆ
.
.
หวังว่าบทความนี้จะช่วยทำให้คุณเห็นคุณค่าของเวลามากขึ้น และใช้มันให้คุ้มค่าที่สุดนะครับ😊
.
By เอิ๊ก กฤตเมธ
.
#TheJarofLife #Lifetool
#ทฤษฎีกระปุกทราย #TheConclusion

— — — — — — — — — — — — —

Facebook : https://www.facebook.com/theconclusion.th/

เข้ากลุ่มอาสาสรุป : http://bit.ly/TheConclusionGroup
.
สารบัญ อาสาสรุป : http://bit.ly/SarabunTheConclusion
.
Youtube: https://bit.ly/SubscribeTheConclusion
.
Podcast: https://bit.ly/TheConclusionSpotify

2566-04-11

♠★♥{DAY44}♥♠★Characteristics Of A Toxic Person ลักษณะของคนเป็นพิษ★♠♥{My_Diary}♥★♠


 

คน Toxic

1. มือถือสากปากถือศิล พูดอย่างทำอย่าง 

ตำหนิคนอื่นแต่ตัวเองก็ทำ

2. ไม่ยอมรับความผิด ผิดไม่เป็น

3. ตัวเองวิจารณ์เก่ง แต่พอถูกวิจารณ์บ้างรับไม่ได้

4. Gaslight

4.1 การพูดว่าปัญหาอยู่ที่เรา 

เช่น เธอคิดไปเอง เธอมองโลกในแง่ร้าย

4.2 ทำให้เรารู้สึกผิดตลอดเวลา

5. ชอบสร้างดราม่าแบบสุด

เช่น ขู่เลิก ขู่จะทำร้ายตัวเอง เพื่อเรียกร้องให้อีกฝ่ายสนใจ

6. ต้องเป็นผู้ชนะเสมอทุกการสนทนา

เช่น ชั้นรู้มากกว่า เธอไม่รู้อะไรเลย เหมือนหวังดี

7. นินทาลับหลัง หน้าอย่างหลังอย่าง

8. ทำให้เราสูญเสีย self-esteem

9. ต้องการให้เราอยู่ใน toxic relationship นี้

 

Solution

1. ยอมรับว่าเราเป็นส่วนหนึ่ง 

เช่น มีคนกระทำ และเรายอมเป็นผู้ถูกกระทำ

Nacisist คือระดับที่คุยไม่ได้แล้ว แก้โดย

1. Stay away

2. ไม่ต้องพยายามบอกว่าเค้าผิด

3. ไม่พยายามแก้ไขเค้า

4. ไม่ต้องพยายามเถียงกับเค้า

2566-04-02

♠★♥{DAY43}♥♠★16 Questions that will show who you are, and what you are meant to do.★♠♥{My_Diary}♥★♠

 

16 Questions that will show who you are, and what you are meant to do.

1. What, and who, is worth suffering for?
(สิ่งใดหรือใครที่คุ้มค่ากับการอดทนต่อสู้เพื่อพวกเขา)


2. What would you stand for if you knew that nobody would judge you?
(คุณจะยืนหยัดเพื่ออะไร ถ้ารู้ว่าไม่มีใครตัดสินคุณ)


3. What would you do if you knew that nobody would judge you?
(คุณอยากทำอะไร ถ้ารู้ว่าไม่มีใครตัดสินคุณ)


4. Based on your daily routines, where will you be in five years? Ten? Twenty?
(หากพิจารณาจากกิจวัตรประจำวันแล้ว อนาคตของคุณใน 5 / 10 / 20 ปี จะเป็นอย่างไร)


5. Whom do you admire most, and why?
(ใครที่คุณชื่นชมมากที่สุด และทำไม)


6. What do you not want anybody else to know about you?
(มีเรื่องอะไรบ้างเกี่ยวกับคุณที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้)


7. What are a few things you thought you would never get over while you were going through them? Why did they seem so insurmountable? How did you?
(มีอะไรบ้างที่คิดว่าจะผ่านมันไปไม่ได้ ทั้งๆ ที่ทำได้ ทำไมมันถึงดูยากเย็นและคุณผ่านมันมาได้อย่างไร)


8. What are your greatest accomplishments so far?
(ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณคืออะไร)


9. What would be too good to believe if someone were to sit down and tell you what’s coming next in your life?
(เรื่องอะไรที่คุณมองว่า “ดีเกินจริง” หากมีใครสักคนนั่งลงและบอกคุณว่าเรื่องนั้นจะเกิดขึ้นในชีวิตเร็วๆ นี้)


10. 10Who from your past are you still trying to earn acceptance of?
(มีใครจากในอดีตที่คุณยังต้องการการยอมรับจากเขาไหม)


11. If you didn’t have to work anymore, what would you do with your days?
(ถ้าคุณไม่จำเป็นต้องทำงานอีกต่อไปแล้ว คุณจะทำให้อะไรแทนในแต่ละวัน)


12. What are the five most common things in your daily routine aside from the basics such as eating and sleeping?
(5 สิ่งที่คุณทำบ่อยในชีวิตประจำวันคืออะไรบ้าง ยกเว้นเรื่องพื้นฐานเช่นการกินและการนอน)


13. What do you wish those five most common things were instead?
(คุณอยากเปลี่ยนให้ 5 สิ่งนั้นเป็นอย่างอื่นแทนไหม มีอะไรบ้าง)


14. If you really believed you didn’t have control over something, you’d accept it as a matter of fact. What do you struggle to accept that you have “no control” over? What part of you makes you think or hope otherwise?
(ถ้าคุณเชื่อว่าคุณควบคุมบางอย่างไม่ได้ คุณก็จะปล่อยให้มันเป็นไปอย่างที่เป็น แต่มีอะไรบ้างที่ยากจะยอมรับว่าคุณควบคุมมันไม่ได้ และทำไมคุณถึงยังคิดหรือฝันว่าคุณจะควบคุมมันได้)


15. If you were to walk through your home and put your hand on every single thing you own, how many of them would make you sincerely feel happy or at peace? Why do you keep the rest?
(หากคุณเดินไปรอบๆ บ้านและสัมผัสทุกสิ่งที่คุณเป็นเจ้าของ มีสิ่งของใดบ้างที่ทำให้คุณมีความสุขหรือรู้สึกสงบ และของที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกเช่นนั้นล่ะ ทำไมคุณถึงยังเก็บมันไว้อยู่)


16 What bothers you most about other people? What do you love most in other people? What bothers you most about yourself? What do you love most about yourself? (Dig until you see the correlation.)
(ชอบและไม่ชอบอะไรเกี่ยวกับตัว “คนอื่น” บ้าง ชอบและไม่ชอบอะไรเกี่ยวกับตัว “คุณเอง” บ้าง)

2566-01-24

♠★♥{DAY42}♥♠★Self-Awareness การตระหนักรู้ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง[Part.02]★♠♥{My_Diary}♥★♠

 

งาน กับ เป้าหมายชีวิต 

การทำงานสำหรับเราแล้ว

เราทำงานมาตั้งแต่อายุ18ปี ไม่เคยได้สัมผัส

กับชีวิตวัยรุ่นทั่วไป ไม่ได้ไปไหนมาไหนกับเพื่อน

ไม่ได้ไปไหนมาไหนกับเพื่อนร่วมงาน

ทำได้แค่ทำงานหาเงินมาช่วยเหลือตัวเอง

 

สังคมการทำงานกับการเรียนมหาลัย

มันต่างกันมาก แทบจะไม่เหมือนกันเลย

เพื่อนหลายๆคนตั้งใจเรียนเพื่อนรับปริญญา

แต่กลับไม่ได้ทำงานตามสายงานที่เรียนจบมา

ทำให้เราตั้งคำถามว่าทำไม 

 

เพื่อนบอกว่าเงินที่ได้ตามสายงานตัวเองมันน้อย

สุดท้ายมาขายของ ไม่ก็ทำธุรกิจส่วนตัว

เพื่อนเราคนหนึ่งไปสอบครู

ตอนนี้เป็นครูพละสอนหนังสือ

เพื่อนเราอีกคนทำงานเป็นเจ้าของกิจการตัวเอง

เพื่อนเราที่เป็นรุ่นพี่เปิดโรงแรมให้นักท่องเที่ยว

พนักงานที่เป็นSaleมาใช้บริการ

ทำงานแทบไม่มีวันหยุด ไม่ตรงกับสาขาที่เรียนจบมา


เราก็ทำงานเป็นพนักงานขายตั้งแต่เด็ก 

ทำงานที่ได้เงิน หลายงานเราแทบไม่มีความรู้อะไรเลย

ก็สมัครไปทำงานก่อน ไม่ได้ก็ฝึกเอา ไม่รู้ก็เรียนรู้เอา

เราว่าหนักแค่ไหนก็ทำงานมาตลอด

เราไม่ได้คนเก่งอะไรมากนัก 

 

แค่ขยันทำงานมากกว่า มีบ่นมา ไม่รุ้เรื่องราว

ออกจะซื่อๆด้วยซ้ำ บางครั้งก็โดนคนเอาเปรียญ

บางครั้งก็ซวยจากความปากไว ไม่เก็บความลับ

เพราะคิดว่าบอกไปแล้วอีกฝ่ายจะรับรู้ความจริง

แต่สุดท้ายเราเองที่โดนว่า ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง

 

เราว่าเราทำงานกับคนมาก็ไม่น้อย

ประสบการณ์ทำงานก็มากมาย

แต่กลับเอามาใช้อะไรกับงานปัจจุบันไม่ได้เลย

เพราะงานแต่ละงานไม่เหมือนกันเลย

ที่เหมือนกันคือการขายของเท่านั้น

เราบอกตามตรง เราไม่ได้คิดอะไรมากนัก

ลงมือทำมากกว่า เป้าหมายอะไรก็ยังไม่รู้เลย


เรามีความฝันอยู่ไม่กี่อย่าง

1.เราอยากทำให้แม่เรามีความสุข

2.เราอยากไปเที่ยวต่างประเทศ(รอบโลก)

3.เราอยากมีเงินมาพอที่จะเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้


ความฝันของเราไม่ได้ใหญ่โตอะไร

เพราะคิดว่าเราทำเท่าที่เราทำไหวจะดีกว่า

ในสิ่งที่เราอาจจะทำได้ไม่ไหว




2565-12-22

♠★♥{DAY41}♥♠★Self-Awareness การตระหนักรู้ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง[Part.01]★♠♥{My_Diary}♥★♠

Self-Awareness  หรือ การตระหนักรู้ 


 "ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

ไม่ว่าจะเป็น อารมณ์ ความรู้สึก 

หรือความต้องการ ซึ่งการตั้งคำถาม

กับตัวเองอยู่เสมอ จะช่วยกระตุ้นต่อมความคิด 

และช่วย ให้ชีวิตเป็นไปตามที่เราคาดหวังได้"

 

สิ่งเหล่านี้ ทำให้คุณมีความสุขไหม ??

  1. เพื่อน คนรัก คนสนิทรอบตัว  

2.งาน กับ เป้าหมายชีวิต  

3.เมืองที่อยู่ ยังอยากอยู่ต่อไหม  

4.งานอดิเรก ใช้ตามที่ฝันรึยัง

 

เพื่อน คนรัก คนสนิทรอบตัว

 สำหรับคำถามนี้ เราไม่เคยตอบตัวเองจริงๆจังๆมาก่อนเลย

ขอแบ่งเป็นช่วงอายุ 

6-12 ปี , 13-18 ปี , 19 ปี - ถึงปัจจุบัน

 

Part 1 [6-12 ปี]

ช่วงประถม เราเป็นเด็กที่ไม่มีเพื่อนอะไรเลย

เพราะเรียนก็ไม่เก่ง และขี้เกียจด้วยซ้ำ

กลับบ้านมาไม่เคยอ่านหนังสือ 

ดูการ์ตูน เล่นเกม Play Station 1

ไม่สนใจการเรียน แม้ว่าแม่จะให้เรียนเสริมก็ตาม

แต่สำหรับเราแล้ว ออกจะเบื่อหน่ายการเรียน

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเพื่อนเลย เราแทบไม่สนใจอะไร

เหงาอยากกลับบ้านอย่างเดียว

จนช่วงปีสี่ที่เราแอบหยิบเงินแม่จากลิ้นชักโต๊ะ

เอามาซื้อการ์ตูน เกมกลคนอัจฉริยะ เล่ม 15

เรารู้เลยว่า การ์ตูนเล่มแรกของเราคือ ยูกิโอ  

 

 

หลังจากนั้นมาเราก็ตั้งหน้าตั้งตารอเล่มต่อๆไปออกตลอด

เรารอไม่ไหว ซื้ออ่านในเล่ม C-Kid มาอ่านรอเลยเชียว

สมัยนั้นเกมยูกิดังมา มีเกมการ์ดออกมาขายเพียบ

แต่เราเรียนโรงเรียนหญิงล้วน

ทำให้เราไม่เคยได้คุยเรื่องนี้กับใคร

แต่หลังจากนั้น เราก็ได้บังเอิญได้อ่าน

หนังสือการ์ตูนผู้หญิง เรื่องแรกคือ

จังหวะร็อก ดนตรีรัก 

เราซื้อมาอ่านเลย ซึ่งเราอ่านแล้ว

ตกหลุมรักในความรักของซาคุยะที่มีต่อไอเนะมาก

นักร้องวงดนตรีชื่อดัง มารักกับนักเรียนหญิง

ม.ปลายวัยเดียวกัน ความรักที่มีสิ่งต่างขัดขวางมากมาย 

แต่ก็ผ่านมาด้วยกันจนได้แต่งงานกัน

และเป็นแฟนคลับอ.มายู ชินโจไปเลยละ




 

แต่ช่วงป.3 ได้นั่งเรียนหนังสือกับเพื่อนชื่อกิ้ฟ 

เพื่อนตัวผอม ใส่แว่นถักเปียสองข้าง

ถ้านับจริงๆ ก็น่าจะเป็นคนเดียวที่เราได้ไปเที่ยวไหนด้วย

มีเพื่อนชื่อ แอม และปลาอีกสองคน

แต่เราก็ไม่รู้ว่า ความเป็นเพื่อนในตอนนั้นมันระดับไหนนะ

เพราะเราเอาเวลาไปสนใจอ่านหนังสือการ์ตูนมากกว่าคบเพื่อน

แล้วยุคการบ้าศิลปินดาราก็ได้เริ่มต้นขึ้น

ได้ดูซี่รีย์ไต้หวั่น รักใสใสหัวใจ 4 ดวง 2001

ดังเป็นพุลแตกเลย คนกรี้ดกันทั่วบ้านทั่วเมือง

 


 

สำหรับในวัยประถมเพื่อนคือ มีแค่คุยทำการบ้าน

รายงานด้วยกันแค่นั้น ไม่มีเพื่อนสนิทเลย


Part 2 [13-18 ปี] 

ม.ต้น 1-3 เราว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เรามีเพื่อนเยอะที่สุด

และเราก็ได้เข้าวงการเจป๊อป และ เคป๊อปด้วยนะ

 

วงการเจป๊อป 

 

 

วงวินส์ (W-inds)

 

 

วงนิวส์ (News)


 

วงคัดตุน (Kat-tun)

 

เคป๊อป

 


 

วงดงบังชินกิ (TVXQ)

 

เด็กม.หนึ่ง เล่นโรงเรียนรัฐบาล มี 10 ห้อง

ตอนเข้าไปแรกๆเราไปสนิทกับเพื่อนคนหนึ่ง

ที่เป็นหัวหน้าห้อง แต่นิสัยเราเป็นคนเสียงดัง

ตรงๆพูดจาไม่ค่อยระวังเท่าไรนัก เพื่อนคนนั้นเลยห่างๆกันไป

แต่มาสนิทกับเพื่อนมากขึ้นก็เล่นบาสเก็ตบอลนี้ละ

เราเล่นชอบเล่นบาสมาก เล่นทุกวัน ก็เจอเพื่อนห้องเดียว

ชื่อ ยุ้ หลังจากนั้นเราก็ไปไหนมากับยุ้ตลอด

เราก็สนิทกับมันมาจนถึงตอนนี้ ถึงแม้เราจะไม่ได้คุย

แต่ความเป็นเพื่อนก็ยังเหมือนเดิมเสมอ

เพื่อนคนอื้นๆก็ไม่ต่างกัน เราว่าเพื่อนม.ต้นเราดีทุกคนนะ

เราได้เจอคนเยอะมาก ได้เล่นกีฬาทำกิจกรรมด้วยกัน

ความทรงจำดีๆของเราอยู่ช่วงเวลานี้ละ

ส่วนตอนม.ปลาย เราขอไม่เล่าดีกว่า

เราไม่ค่อยมีความทรงจำดีๆของม.ปลายเท่าไร


Part 3 [19 ปี - ปัจจุบัน]

เราทำงานตั้งแต่อายุ 18 แล้วแทบจะไม่ได้มีเพื่อนเลย

เรามีเพื่อนแค่ไม่กี่คน

หวาน นัน พี่กิฟท์ บิ้ก พี่เบิร์ด พี่ซี

เพื่อนเรามีไม่เยอะขนาดนั้น เราทำงาน

ขายของตั้งแต่เด็ก เราไม่ได้มีโอกาสไปใช้ชีวิต

ในรั้วมหาลัยอะไรเท่าไร เราก็พยายามคิดนะ

ว่าถ้าเราได้ไปเรียนแบบคนอื้นเราจะเป็นยังไง

ตอนนี้ก็อายุ 3x เข้าไปแล้ว สังคมเพื่อนเป็นยังไง

เราว่าเราก็จำไม่ค่อยได้แล้ว

เราทำงานอย่างเดียว เปลี่ยนงานมาก็หลายงาน

แต่สำหรับเราแล้วเพื่อนที่ทำงานมันไม่ได้นานนัก

เพราะงานที่เราทำก็ไม่เคยเกินปีเลย

ที่เคยทำถึงปีก็มีแค่ 4 งานเท่านั้น

งานแรก แผ่นหนังภาพยนตร์ เพลงซีดี ดีวีดี 1 ปี

งานที่สอง เวชสำอางค์ 1 ปี

งานที่สาม เครื่องสำอางค์และสกินแคร์ 1 ปี

งานที่สี่ บริษัทคอมพิวเตอร์ จน ปัจจุบัน

 

จบภาค 1

 

2565-12-20

♠★♥{DAY40}♥♠★สวัสดีกับชีวิตที่เริ่มต้นใหม่★♠♥{My_Diary}♥★♠

 5 วันกับเวลาที่ผ่านมา

เราเองก็ไม่ใช่คนคิดอะไรเอง ได้ง่ายๆเหมือนกัน

ต้องผ่านการพูดคุยกับตัวเองมาเยอะไม่น้อยเลย

เคยสงสัยว่าเราทำอะไรผิดพลาดไปมั้ง

 

มันอาจจะเริ่มต้นจากไม่คิดอะไรมากนี้ละ

น่าจะเป็นจุดเริ่มต้น

การทุ่มเทอะไรของเรา มันดูจะไม่ค่อยรอบคอบนัก

 

เหรียญที่มันมีสองด้านเรากลับมองมันแค่ด้านเดียว

เพราะทุกอย่างบนโลกมีทั้งขาวและดำ

สว่างและมืด เราแค่ต้องมองให้รายละเอียด

ทบทวนตัวเองก่อนจะตัดสินใจทำอะไร

 

แต่ก็ไม่เคยเสียดายอะไรในอดีตที่ผ่านมา

เพราะเราลงมือทำไปมากกว่านั่งคิดก่อนเสียอีก

 เพราะเวลาที่เราเสียดาย คือ ไม่ได้ทำ

 

ก่อนหน้านี้เราเชื่อว่า ถ้าเราทำอะไรเต็มที่สุดๆ

คิดต่างและไม่สนใจโลก โลกมันจะสนใจเราเอง

แต่จริงๆ เราอาจจะสนใจโลกมากกว่าที่ตัวเองคิด

 

เราชอบถามคำถามเดิมๆ และได้คำตอบเดิมๆ

ว่าทำไปก่อน ค่อยว่ากัน

หน้าที่การงาน ทำไปมันก็สร้างได้ทั้งนั้น

แต่ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้น

เราไม่มีหนทางที่แน่ชัดในตัวเอง

 

เป้าหมายของพื้นธรรมดา 

ขอแค่หาเงินได้ เอามาให้ครอบครัว

ให้แม่มีความสุข และเราก็ได้ใช้ชีวิต

กับคนอย่างเราไม่มีความฝันยิ่งใหญ่อะไร

 

เราตัดสินใจเลือกที่จะพึ่งพาตัวเอง

ก่อนหน้าก็ต้องยอมรับว่า 

ใจยังไม่เข้มแข็งพอที่จะตัดสินใจทำอะไร

เพราะความลังเลมันทำให้เราปล่อยให้เวลาตัดสิน

 

แต่เรื่องของเรื่องมันเกิดปัญหาจากตัวเอง

จะไปโทษใครก็ไม่ได้ ถ้าเราไม่ตัดสินใจในวันนั้น

เราไม่ยื่นมือออกไป มันอาจจะไม่เป็นอย่างทุกวันนี้

 

แต่ใครจะรู้อนาคต เพราะคิดว่าไม่อยากทำอะไรแบบนี้แล้ว

เลยลงเสี่ยงทายชีวิตดู ที่ผ่านก็ทำทุกอย่างที่ทำได้

เพื่อให้ตัวเองและคนที่เราแคร์มีความสุข

เราเชื่อว่า เค้ามีความสุขมากๆ 

แต่เพราะเราคิดว่าเราให้ในส่วนนั้นไป

 

เพราะตัวเราเองที่ไม่เคยได้รับ จึงเหมือนภาพสะท้อน

ว่าการทำให้คนๆหนึ่งมีความสุข มันดีแค่ไหนกันนะ

เราทุ่มเทหลายสิ่งหลายอย่างไปเพื่อรอยยิ้ม

เรากล้าได้กล้าเสียจนเกินกว่าจะหันหลังกลับไป

 

นิสัยที่เคยตัวมาตลอดคือ ถ้าเลือกอะไรไป

จะลงมือทำไปด้วยเอง ไม่เคยมีใครกล้าเข้ามาจริงๆ

แม้แต่ประโยคสำคัญถึงสองประโยค

เราเองก็พูดด้วยตัวเอง

 

คบกันไหม ??

แต่งงานกันนะ ??

 

อาจจะโทษที่เราตัดสินใจอะไรง่ายไป

มันอาจจะไม่พร้อมกับคนๆหนึ่งที่มีภาระ

และหน้าที่ของลูกคนหนึ่ง


แค่เวลาที่เราเลือกเองไม่ได้ว่ามันจะมาถึงเมื่อไหร่

คำสัญญาที่เคยพูดไว้

ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้เรา

สัญญาแล้วเรารักษาสุดกำลังเลยนะ

ไม่เคยลืมเลยซักวัน แต่เพราะเราเป็นคนพูดเราเลยจำมั้ง

ไม่ว่าเมื่อไหร่ เวลาใดก็ตามความสำคัญ

ไม่เคยลดน้อยลงไปเลย


แต่มันก็ผ่านมาแล้ว มันสิ้นสุดไปแล้วละ

เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

ต่างคนต่างไปสร้างอนาคตให้ตัวเอง

ให้ครอบครัวที่ตัวเองรัก มันอาจจะดีกว่า

คนเราถ้ามันใช่ ซักวันโลกจะพาเรามาเจอกัน

แต่ถ้าไม่ก็เป็นคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตคนหนึ่ง

ความดีที่เคยทำให้กันมันไม่หายไปหรอก


แต่ให้เวลามันทำให้เราเติบโต ให้เจอคนที่ดีในอนาคต

ถึงแม้จะเลือกอนาคตอะไรไม่ได้ก็ตาม

แต่มันก็สำคัญพอที่จะพยายามกันต่อไปนะ

 

 


 

 

 

2565-12-16

♠★♥{DAY39}♥♠★ท้องฟ้าเปลี่ยนสี แสงสว่างที่เปลี่ยนทิศทาง★♠♥{My_Diary}♥★♠

อนาคตกำลังเปลี่ยนไป 

#เริ่มเลอ


ทุกอย่าง...ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

มันเป็นสิ่งที่มี...ค่าทั้งนั้น

 

แต่เวลามันเป็นตัวบ่งบอกความจริงกับเรา

ว่าที่เราเลือกมาก่อนหน้านั้นมันเกิดจากการอดทนรอ

เพื่อให้คนที่เราแคร์ เข้าใจตัวเองมากขึ้น

เติบโตเป็นแบบที่เค้าควรจะเป็น

 

ในอดีตเรามองแค่ว่า เรายังมีเวลาอีกนาน

ค่อยๆพัฒนาความสัมพันธ์ไปก็ได้

มันเป็นการเดินทางจากคนแปลกหน้า

ให้เข้าใจในตัวตนของเราทุกอย่าง

อะไรที่ไม่มั่นใจก็สร้างความไว้ใจให้หมด

 

จุดเริ่มต้นก็ไม่เหมือนคนทั่วไป 

เรากลับคิดว่าที่เราพยายามทำมา 

มันใช้เวลาความอดทน 

ใจมันก็รอไปเรื่อยๆ เหมือนปลายทาง

มันยังมาไม่ถึงเลย แต่พอถาม

ก็ยังไม่รู้อนาคตอยู่ดี

 

เจ็บในใจอยู่ลึกๆ ว่าเราพยายามมาไม่พอหรอ

ความสัมพันธ์ใดๆในโลกนี้

มันต้องพอดี ไม่ใช่มันดีไปเสียหมด

ทำให้ความสบาย เกิดโดยธรรมชาติ

ความเหนื่อยล้ามันต้องหายไปหรือลดลงไป

 

แต่ก็รู้นะ ว่าพยายามไม่หน่อยกว่ากัน

แต่เวลามันไม่เคยรอใครหรอก 

เราก้รู้ความฝันตัวเอง เราอาจจะพึ่งพา

กันและกันในเวลาที่ผ่านมา

เป็นความทรงจำดีๆในชีวิต

มันไม่ได้แย่ไปเสียทุกอย่าง

 

แต่การเดินทาง มีพบก็มีจากอยู่แล้ว

 ถ้ามันเวลาพิสูจน์ทุกอย่างแล้ว

ให้คำตอบเหล่าเกิดขึ้น ในอนาคตก็ได้นะ

 

ไม่ต้องกลัวหรอก สิ่งที่ทุ่มเทไป

มันเป็นความรักที่ดี 

เป้นคนที่ดีคนหนึ่งในชีวิต

เป็นคนที่ทำให้ยิ้มและอบอุ่น

 ขอบคุณและขอโทษนะ

 

15/12/2565

2022/12/15

 

คำสัญญาถึงเวลา

ต้องจากลากันแล้วนะ